Kevin De Bruyne เควิน เดอ บรอยน์ ประวัติมิด ฟิลด์เท้าชั่งทอง จอมทัพ เรือใบสีฟ้า กัปตันทีม ขวัญใจแฟนบอล แมนฯซิตี้

Kevin De Bruyne (เควิน เดอ บรอยน์) หนึ่งในแข้งยอดเยี่ยม ที่เป็นเปี่ยมไปด้วยความสามารถที่ในยุคปัจจุบันคือนักเตะมิดฟิลด์ที่ดีที่สุด แม้ว่าในวัยเด็กของเขานั้นจะต้องพบเจอกับอุปสรรคมากมาย แต่เขาไม่เคยย่อท้อ เควิน เดอ บรอยน์ยังคงมุ่งมั่นฝึกฝน จนกลายมาเป็น กองกลาง ตัวทำเกมสุดโหด สกิลการจ่ายบอลของเขาเรียกได้ว่าเฉียบคม สกิลการอ่านเกมของเขาเหมาะสมแล้วกับตำแหน่ง กัปตันทีมชาติเบลเยี่ยม กำลังรบคนสำคัญของสโมสร เรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ประวัติของ Kevin De Bruyne (เควิน เดอ บรอยน์)

ชื่อจริง : Kevin De Bruyne (เควิน เดอ บรอยน์)

เกิดวันที่ : 28 มิถุนายน 1991

สถานที่ : Drongen , เบลเยี่ยม

ตำแหน่ง : กองกลาง , มิดฟิลด์

Kevin De Bruyne เริ่มต้นเส้นทางลูกหนังกับสโมสร Genk

เริ่มต้นขึ้นที่ประเทศบ้านเกมของเขา เจ้าหนู เดอ บรอยน์ ได้เข้าไปฝึกวิชาที่แรกกับ กาเฟเฟ่ ดรอน เก้น ในปี 1997 ในเวลาต่อมาเขาก็ได้ย้ายไปอยู่กับ เคเอเอ เกนท์ ในปี 1999 เขาฝึกฝนตัวเองอยู่ที่นั้นนานถึง 6 ปีเต็ม ก่อนที่ต่อมาในปี 2005 เขาจะย้ายไปเล่นในระดับเยาชนให้กับ เคอาร์ซี เกงค์ ซึ่งที่นี่ เป็นที่ที่ Kevin De Bruyne พัฒนาตัวเองแบบก้าวกระโดด ฝีเท้าของเขาเรียกได้ว่าพัฒนาขึ้นแบบเห็นได้ชัด เขาเริ่มขยับตำแหน่งมาเรื่อยๆ จากการลงเล่นเป็นตัวสำรอง

และเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2553 เดอ บรอยน์ สามารถทำประตูแรกให้กับสโมสร สามารถทำให้ เกงค์ เก็บ 3 แต้มและเอาชนะ สตองดาร์ด ลีแอช 1-0 เขาทำประตูไปทั้งหมด 5 ประตู และอีก 16 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 32 นัด ก็ขยับขึ้นมาเล่นในตำแหน่งตัวจริง ในทีมชุดเยาวชน ในฤดูกาลปี 2010-2011 ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ เดอ บรอยน์ กับ เกงค์ เมื่อเขาโชว์ระเบิดฟอร์มการเล่นอย่างร้อนแรง พาทีมเก็บชัยชนะเป็นว่าเล่น จนในที่สุดเขาก็สามารถพาทีมคว้าแชมป์เบลเยี่ยมโปรลีก ได้สำเร็จเป็นครั้งที่ 3 และ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ.2554 เดอ บรอยน์ ทำแฮตทริกแรกให้ เกงค์ ในศึกที่พบกับ คลับบรูซ จบด้วยการเอาชนะไป 5-4 Kevin De Bruyne ค้าแข้งอยู่กับ เกงค์ มาอีก 1 ฤดูกาล เขาสามารถทำผลงานออกมาได้เป็นอย่างดี

Kevin De Bruyne พัฒนาฝีเท้ากับ สิงห์บลู เชลซี

จนฟอร์มการเล่นของเขานั้นไปเข้าตาทีมยักษ์ใหญ่อย่าง เชลซี ยักษ์ใหญ่พรีเมียร์ลีก ทำให้เขาถูกทาบทามตัวมาร่วมทีมในเวลาต่อมา และเมื่อวันที่ 31 มกราคม ปี 2012 Kevin De Bruyne ก็ได้ตัดสินใจเซ็นสัญญามาเป็นนักเตะใหม่ให้กับทัพ สิงห์บลูส์ ด้วยค่าตัว 6.7 ล้านปอนด์ หรือราวๆ สองร้อยแปดสิบห้าล้านบาทไทย และ สัญญามีอายุยาวนานถึง 5 ปี แต่เขาไม่ได้ย้ายมาเล่นให้ทันที เขายังคงลงเล่นให้กับ เกงค์ จนจบฤดูกาล 2011-2012 ต่อไป

หลังจากเล่นให้ เกงค์ จนจบฤดูกาล 2011-2012 เดอ บรอยน์ ได้ย้ายมาเป็นสมาชิกใหม่ของทีม เชลซี แบบเต็มตัว และ เขาก็ได้ลงเล่นประเดิมสนามแรกกับทีมใหม่ ในการกระชับมิตร ในแมทซ์นั้น เชลซี ดวลกับ ซีแอตเทิล ซาวน์เดอร์ส ทีมในเมเจอร์ลีก สหรัฐอเมริกา และ สามารถพาทีมเอาชนะไปได้ 4-2 ในเวลานั้นต้องแจ้งก่อนว่าถึงแม้ Kevin De Bruyne จะสามารถโชว์ฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นได้ แต่เมื่อเทียบกับ สกอร์ กองกลางของผู้เล่นชั้นนำคนอื่นของทีม เชลซี แล้วถือว่าเขายังไม่เท่าไหร่ นั้นจึงทำให้เขาเอ่ยปากกับโค้ชในทันทีว่า ถ้าคุณไม่อยากให้ผมลงเล่นก็แค่ขายผมไป ทำให้ช่วงเวลาชีวิตของเขาตอนนั้นโดนสกัดดาวรุ่งสุดๆ

เสริมกระดูก เก็บเกี่ยวประสบการณ์ กับ Werder Bremen

วันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2555 Kevin De Bruyne ก็ถูกปล่อยตัวไปให้กับ แวร์เดอร์ เบรเมน ทีมในบุนเดสลีกา ยืมตัวไปใช้งาน ในฤดูกาล 2012-2013 ซึ่งการที่ย้ายมาเล่นที่ เบรเมน ในครั้งนี้ เขาสามารถโชว์การเล่นได้แบบสุดยอด เมื่อวันที่ 15 กันยายน เขาสามารถทำประตูแรกให้กับ เบรเมิน ในเกมที่เอาชนะ ฮันโนเวอร์96 ไป 3-2 หลังนั้น เขาก็โชว์ฟอร์มโดยการทำประตูให้กับทีม ทำให้พลิกกับมาเสมอ 2-2 กับ วีเอฟบี สตุ๊ตการ์ต  เขาได้กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีม ในชนิดที่ว่าขาดไม่ได้

เขาสามารถยิงไปได้ถึง 10 ประตู และอีก 10 แอสซิสต์ จากการลงเล่นเพียงแค่ 34 นัด แถมยังคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของบุนเดสลีกา ไปครองอีกด้วย หลังจากที่เขาได้โชว์ฝีเท้าได้อย่างยอดเยี่ยมใน บุนเดสลีกา เควิน เดอ บรอยน์ ก็ได้กลับมาที่ เชลซี อีกครั้ง แต่เขามีเป้าหมายโดยเขาจะกลับมายึดในตำแหน่งตัวจริงให้ได้ แต่ทว่าทุกอย่างก็ไม่เป็นดั่งหวัง เมื่อเขาถูกให้ลงเป็นตัวสำรองของทีม ไม่ค่อยได้รับโอกาสในการลงเล่น ในเวลานั้นเขาได้ลงเล่นเพียง 9 นัดเท่านั้น โดยส่วนใหญ่จะเป็น เกมลีกคัพ หรือถ้าได้ลงในลีก ก็จะเป็นตอนท้ายที่เกมใกล้จะจบแล้ว นั้นทำให้ เดอ บรอยน์ แถบจะไม่ได้โชว์ผลงานการเล่นเลยนะเวลานั้น

โชว์ฟอร์มโหด แจ้งเกิดที่ โวล์ฟสบวร์ก

ในเวลาต่อมา เมื่อเดือน มกราคม ปี 2014 ทาง สิงห์บลูส์ ก็ได้อนุญาตให้ เควิน เดอ บรอยน์ ดาวเตะชาวเบลเยี่ยมย้ายทีมได้ ซึ่งเขาได้ตัดสินใจกลับไปเล่นให้ บุนเดสลีกา แต่ครั้งนี้เขาไปเริ่มต้นกับสโมสร โวล์ฟสบวร์ก ทีมลูกหนังที่กำลังมาแรงเป็นอย่างมากช่วงเวลานั้น เขาถูกซื้อตัวไปในราคา 18 ล้านปอนด์ หรือราวๆ เจ็ดร้อยหกสิบเก้าล้านบาทไทย การย้ายมาเล่นให้กับทีม โวล์ฟสบวร์ก ในครั้งนี้ เขาเอาความมุ่งมั่นมาแบบเต็ม 100 และ แรงผลักดันที่เขาจะโชว์ฟอร์มการเล่นที่เร่าร้อนให้กับแฟนบอลได้เห็น เพื่อจะพิสูจน์ว่าเขาสามารถเล่นได้ที่แค่ไหน ไม่ผิดหวังเพราะในเวลาต่อมา Kevin De Bruyne ระเบิดฟอร์มการเล่นแบบร้อนแรง จากกองกลางธรรมดา เปลี่ยนมาเป็นจอมทัพที่จ่ายบอลได้แบบเฉียบคม เขาสามารถสั่งการแดนกลางได้อย่างยอดเยี่ยม ในลีกที่ 2 ของฤดูกาล 2013-2014 เดอ บรอยน์ ก็ช่วยพาสโมสร โวล์ฟสบวร์ก จบอันดับที่ 5 ของบุนเดสลีกา พร้อมกับเข้ารอบรองชนะเลิศบอลถ้วย เดเอฟเบ โพคาล อีกต่างหาก

ความโหดของเขายังไม่หมดเพียงเท่านี้ เมื่อฤดูกาลที่ 2014-2015 เควิน เดอ บรอยน์ โชว์ฟอร์มโหดตั้งแต่ต้นซีซั่น ยาวไปจนนัดสุดท้าย จนสามารถพาทีมผงาดขึ้นไปเป็นรองแชมป์ บุนเดสลีกา ได้สำเร็จ ตอนนั้นทีมเป็นรองแค่ บาเยิร์น มิวนิค เท่านั้น เขาสามารถพาทีมเอาชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในนัดชิงชนะเลิศ เดเอฟเบ โพคาล คว้าแชมป์ มาครอบครองได้อย่างยิ่งใหญ่ นอกจากที่เขาจะคว้าถ้วยรางวัลแล้ว ในฤดูกาลดังกล่าว กองกลางชาวเบลเยี่ยม ยังสามารถทำแอสซิสต์ไปได้ถึง 21 ประตูด้วยกัน ซึ่งนั้นเป็นการทำลายสถิติของ บุนเดสลีกา เลยทีเดียว หลังจากจบซีซั่น เดอ บรอยน์ ก็ได้รับรางวัล นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของบุนเดสลีกา , ติดทีมยอดเยี่ยมบุนเดสลีกา รวมถึงได้รับ ตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของเยอรมัน อีกด้วย

สร้างความสำเร็จ คว้าแชมป์กับ แมนซิตี้

หลังจากประสบความสำเร็จกับ โวล์ฟสบวร์ก แล้ว ชื่อของ Kevin De Bruyne ก็ดังไปทั่ว ยิ่งเป็นในศึกพรีเมียร์ลีกตอนนี้ ก็มีทีมยักษ์ใหญ่อย่าง เรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มี มานูเอล เปเยกรินี่ กุนซือชาวชิลี คุมทีมอยู่ในเวลานั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ.2558 ได้ทำการทุ่มเงินมหาสารสูงถึง 55 ล้านปอนด์ หรือราวๆ สองพันสามร้อยสี่สิบหกล้านบาทไทย คว้าตัวเขามาร่วมทีม ด้วยสัญญา 6 ปี ซึ่งก็มีคนมองว่าดีลนี้จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่ เนื่องจากนักเตะเคยล้มเหลวในพรีเมียร์ลีกมาแล้ว แต่ เดอ บรอยน์ ไม่ได้สนใจตรงนั้น เขากลับมองว่า เขาจะโชว์ฟอร์มการเล่นแดนกลางที่ทั้งดุดันเร่าร้อนให้คนทั้งโลกได้เห็น และ เขาสามารถทำได้โดยการที่เขาโชว์ผลงานในสนามได้อย่างยอดเยี่ยม เขาระเบิดฟอร์มสุดโหดยิงไปถึง 16 ประตู กับอีก 13 แอสซิสต์ พาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพ และ พาทีมเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัล นักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนของสโมสรถึง 4 ครั้ง แม้ว่าในฤดูการถัดมา เปเยกรินี่ ผู้ให้โอกาสเขา จะโดนปลดออกจากตำแหน่ง ทว่าคนที่เข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่ของทีมคือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยพูดว่าต้องการร่วมงานกับ เดอ บรอยน์ สักครั้งในชีวิต และ นั้นก็เหมือนฟ้าลิขิตให้ 2 คนนี้ต้องมาทำงานด้วยกันที่ แมนเชวเตอร์ ซิตี้ แห่งนี้

ในการร่วมการกับ เป๊ป เขาต้องรับบทบาทหลายตำแหน่ง ต้องปรับเปลี่ยนไปลองเล่นตำแหน่งที่เขาไม่คุ้นชิน ทั้ง มิดฟิลด์ตัวกลาง , ปีก ซ้าย-ขวา , หน้าต่ำ หรือแม้แต่การเล่น แบ็กซ้าย นั้นก็เพราะว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องการหาตำแหน่งที่สามารถเรียกสกายภาพของนักเตะได้แบบเต็มที่ ถึงแม้ว่า Kevin De Bruyne จะถูกโยกย้ายให้ไปเล่นหลายตำแหน่ง แต่ผลงานของเขาก็ไม่ได้ถอยลงไปเลย เขายังสามารถทำไปถึง 18 แอสซิสต์ แต่ทีม เรือใบสีฟ้า จบไปที่อันดับ 3 ของตารางเท่านั้น หลังจากที่ทดลองอยู่นาน เป๊ป ก็ได้ตำแหน่งที่ลงตัวของ เควิน เดอ บรอยน์ คือการให้เขาเป็นตัวฟรีของแดนกลาง คอยเป็นคนที่สร้างสรรค์เกม คอยควบคุมจังหวะการเล่นของทีม เหมือนกับ คอนดักเตอร์ เป็นตัวควบคุมการแสดงของวงออเคสตรานั่นเอง

ต่อมาในฤดูกาล 2017-2018 เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โชว์การคุมทีม บวกกันฟอร์มนักเตะ แมนเชสเตอร์ซิตี้ โดยเฉพาะ เดอ บรอยน์ ที่โชว์ฟอร์มการเล่นได้อย่างสุดยอดและลงตัว ไม่มีใครสามารถสกัดดาวรุ่งพุ่งแรงคนนี้ได้ ผงาดพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ด้วยการเก็บไปถึง 100 คะแนน ทิ้งคะแนนห่างกับทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปถึง 19 คะแนน ผลงานส่วนตัวของเขาประจำฤดูกาลนี้ เขายิงไปถึง 12 ประตู ทำไปอีก 21 แอสซิสต์ กลายเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซ อย่างแท้จริง ต่อมาในฤดูกาลที่ 2018-2019 ช่วงต้นฤดูกาลจะจบไป จนยาวมาถึงกลางฤดูกาล ทีมเล่นได้ไม่ลงตัวเท่าไหร่ จึงทำให้แต้มหล่นไปหลายแต้ม จนตามหลัง ทีมจ่าฝูงอย่าง ลิเวอร์พูล ส่วนนึงเป็นเพราะฟอร์มการเล่นของทีม และ อีกหนึ่งอย่างคือฟอร์มการเล่นของ เดอ บรอยน์ ดร็อปลงไปอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากอาการบาดเจ็บมารบกวนก่อนหน้านี้

แต่ทว่าในช่วงปลายซีซั่น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็นำเหล่านักเตะมารีดพรสวรรค์กันแบบจัดเต็ม เร่งฟอร์มการเล่นอย่างดุเดือด จนสามารถแซงหน้า หงส์แดง คว้าแชมป์ไปครองได้แบบลุ้นระทึก มีแต้มชนะห่างกันเพียงแค่ 1 แต้มเท่านั้น โดยซีซั่นนี้ ผลงานของ เดอ บรอยน์ เรียกได้ว่าตกมาพอตัว เขาทำไปเพียง 6 ประตูเท่านั้น และ 11 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 32 นัด ซึ่งทำให้หลายคนรวมถึงเหล่าแฟนบอลมองว่า มันคงถึงช่วงขาลงของเขาแล้วรึปล่าว แต่ฤดูกาล 2019-2020 เขาก็กลับมาโดดเด่นอีกครั้ง หลังจากที่พักฟื้นจากอาการบาดเจ็บมา แต่ถึงแม้ซีซั่นนี้ทีม ลิเวอร์พูล จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปก็ตาม แต่มันก็ได้พิสูตรแล้วว่ามันยังไม่ถึงช่วงขาลงของเขา เขายังคงรักษาฟอร์มการเล่นได้ดี และ พาทีมคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศไปครอง โดยเขายิงไปถึง 16 ประตู กับอีก 23 แอสซิสต์ จากการลงเล่นเพียง 48 นัด แถมยังพาทีมคว้าแชมป์ คาราบาว คัพ ได้อีกด้วย และมาถึงฤดูกาล 2020-2021 เดอ บรอยน์ ก็กลายมาเป็นกำลังรบคนสำคัญของทีมอย่างแท้จริง แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะโชว์ฟอร์มได้แบบย่ำแย่ จนหล่นไปอยู่กลางตาราง แต่เมื่อเขากลับมาโชว์ฟอร์มโหดอีกครั้ง บวกกับเพื่อนร่วมทีมของเขากลับมามีไฟกันอีกครั้ง นั้นจึงทำให้สโมสร เรือใบสีฟ้า กลับมาอยู่บนหัวตารางของลีก และ ทีมก็ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศในศึก คาราบาว คัพ อีกครั้งเช่นกัน

ผลงานทีมชาติเบลเยี่ยม ของ เควิน เดอ บรอยน์

เดอ บรอยน์ มีส่วนร่วมกับทีมชาติเบลเยี่ยม ตั้งแต่ชุดเยาวชน 18 ปี ก่อนจะค่อยๆ ขยับมาเล่นในชุดเยาวชน 19 ปี และชุดเยาวชน 21 ปี จากฝีเท้า และ สกิลการเล่นที่โดดเด่นเกินวัย ทำให้ในระยะเวลาไม่นานเขาก็ถูกเรียกให้มาติดทีมชาติชุดใหญ่ เป็นครั้งแรกในปี 2010 ซึ่งเวลานั้น เดอ บรอยน์ มีอายุเพียง 19 ปี เท่านั้น แต่สามารถสวมเสื้อทีมชาติชุดใหญ่ได้ โดยไฮไลท์สำคัญในการลงเล่นให้กับทีมชาติเบลเยี่ยมของ เดอ บรอยน์ คือการพาทีมคว้าอันดับ 3 ในศึกฟุตบอลโลก ปี 2018 ด้วยการเอาชนะอังกฤษไป 2-0 ในเวลานี้เขาได้ลงเล่นให้ทีมชาติไปแล้วถึง 78 นัด และยิงไปมากกว่า 20 ประตูด้วยกัน จนระยะเวลาต่อมาเขาถูกแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมชาติเบลเยี่ยมอย่างเต็มตัว

เกียรติประวัติของ เควิน เดอ บรอยน์

เกงค์

  • เบลเยี่ยมโปรลีก : 2010-2011
  • เบลเยี่ยมคัพ : 2008-2009
  • เบลเยี่ยม ซูเปอร์ คัพ : 2011

วีเอฟแอล โวล์ฟสบวร์ก

  • เดเอฟเบ โพคาล : 2014-2015
  • เดเอฟแอล-ซูเปอร์คัพ : 2015

แมนเชสเตอร์ ซิตี้

  • พรีเมียร์ลีก : 2017-2018 , 2018-2019 , 2020-2021 , 2021-2022 , 2022-2023
  • เอฟเอคัพ : 2018-2019
  • ฟุตบอลลีกคัพ / อีเอฟแอลคัพ : 2015-2016 , 2017-2018 , 2018-2019 , 2019-2020 , 2020-2021
  • เอฟเอ คอมมูนิตี้ ชิลด์ : 2019
  • รองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก : 2020-2021

รางวัลส่วนตัว

  • นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของบุนเดสลีกา : 2012-2013
  • นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของบุนเดสลีกา : 2014-2015
  • ทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของบุนเดสลีกา : 2014-2015
  • ผู้ให้การช่วงเหลือสูงสุดในบุนเดสลีกา : 2014-2015
  • ยูฟ่ายูโรปาลีกทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล : 2014-2015
  • ประตูยอดเยี่ยมประจำเดือน (บุนเดสลีกา) : ตุลาคม 2014
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี (บุนเดสลีกา) : 2015
  • ฟุตบอลโลก XI : 2015
  • นักกีฬาเบลเยี่ยมแห่งปี : 2015
  • ผู้เล่นเบลเยี่ยมยอดเยี่ยมในต่างประเทศ : 2015 , 2016
  • นักเตะแมนเชสเตอร์ซิตี้แห่งฤดูกาล : 2015-2016 , 2017-2018 , 2019-2020 , 2021-2022
  • ประตูแห่งฤดูกาล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : 2019-2020
  • FIFA FIFPRO World 11 : 2020 , 2021 , 2022
  • IFFHS Men’s World Team : 2017 , 2019 , 2020 , 2021 , 2022
  • ทีมยูฟ่าแห่งปี : 2017 , 2019 , 2020
  • ทีม ESM แห่งปี : 2017-2018 , 2019-2020 , 2020-2021 , 2021-2022
  • ทีมยอดเยี่ยม PEA พรีเมียร์ลีก แห่งปี : 2017-2018 , 2019-2020 , 2020-2021 , 2021-2022
  • เพลย์เมคเกอร์ พรีเมียร์ลีก ประจำฤดูกาล : 2017-2018 , 2019-2020
  • ทีมยอดเยี่ยม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ประจำฤดูกาล : 2017-2018 , 2018-2019 , 2019-2020 , 2020-2021 , 2021-2022
  • ทีมยอดเยี่ยม ฟีฟ่า เวิลด์คัพ: 2018
  • Premier League Goal of the month : พฤศจิกายน 2019 , กรกฎาคม 2020
  • ผู้เล่น พรีเมียร์ลีก ประจำฤดูกาล : 2019-2020 , 2021-2022
  • นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ PEA : 2019-2020 , 2020-2021
  • มิดฟิลด์ยอดเยี่ยม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ประจำฤดูกาล : 2019-2020
  • IFFHS World’s Best Playmaker : 2020 , 2021
  • IFFHS ทีมยูฟ่าแห่งทศวรรษ : 2011-2020
  • IFFHS ตลอดเวลา เบลเยี่ยม XI